ความคุ้มครองภาวะวิกฤติ จ่ายเงินก้อนกรณี “เคสรุนแรง” แม้ไม่ใช่โรคร้ายในลิสต์
ประกันโรคร้ายแรง
ในบรรดากรมธรรม์ที่แม่มณีเคยผ่านตา ตระกูลที่เป็นยานอนหลับขั้นสุดคือกรมธรรม์ประกันโรคร้ายแรงเจ้าค่ะ ยิ่งช่วงหนึ่งที่ตระกูลนี้แข่งกันที่จำนวนโรค แต่ละกรมธรรม์มีนิยามโรคหลักร้อยโรคขึ้นไป และแม่มณีก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าสินไหมประกันโรคร้ายแรงจะจ่ายเมื่อเรามีอาการตรงตามนิยามที่กำหนดในกรมธรรม์เท่านั้น มันก็มีข้อจำกัดถึงความยืดหยุ่นเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะล้านแตกกันง่าย ๆ เจ้าค่ะ
แต่ปีนี้ 2025 มีประกันโรคร้ายแรงออกใหม่น่าสนใจหลายค่าย และที่แม่มณีพึงใจคือการมี Feature ใหม่ ๆ มาแข่งขัน ไม่ใช่ประชันกันที่จำนวนโรคอย่างเดียว และหนึ่งในความคุ้มครองใหม่ๆ ที่แม่มณีให้ความสนใจและอยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จักก็คือ “ความคุ้มครองภาวะวิกฤติ” เจ้าค่ะ
ความคุ้มครองภาวะวิกฤติ เป็นฟังก์ชั่นรุ่นใหม่ ปีตื้น ซึ่งเราจะได้เห็นในประกันโรคร้ายแรงรุ่นใหม่ หรืออาจจะมีเสริมให้ในประกันสุขภาพบางแผน ซึ่งจะจ่ายผลประโยชน์เป็นเงินก้อนหลักหลายแสน ไปจนถึงหลักล้าน ในกรณีของ “เคสรุนแรง” ตามเงื่อนไขที่แผนนั้นถือว่า “วิกฤติ” ยกตัวอย่างดังภาพเจ้าค่ะ

แม้คำนิยามของ “ภาวะวิกฤติ” แต่ละแผนประกันจะไม่ได้เหมือนกันซะทั้งหมด แต่พอจะหยิบยกหลักการได้คร่าว ๆ ว่ามักจะเกี่ยวข้องกับ “การนอนห้อง ICU” ต่อเนื่องตามจำนวนวันที่กำหนด เท่าที่เห็นมักจะเป็นการนอนห้อง ICU ติดต่อกัน 5 วันขึ้นไป และจะต้องมีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบสอดท่อ, มีการใช้เครื่อง ECMO, มีการผ่าตัดแบบวางยาสลบทั่วไป, มีการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันไม่ได้ หรืออื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่เงื่อนไขของแบบประกันจะกำหนดไว้ แต่ละค่าย แต่ละแผน นับคำว่าวิกฤติไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด แต่เท่าที่แม่มณีเห็น 2 เคสที่ทุกค่ายเห็นพ้องต้องกันว่าวิกฤติแน่ ก็คือ การใช้เครื่องช่วยหายใจแบบสอดท่อ (MV) และ การใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (ECMO) เจ้าค่ะ
หลายคนอาจจะมีคำถามว่า “ภาวะวิกฤติ” ก็เท่ากับ “ภาวะโคม่า” ที่นับเป็นโรคร้ายแรงโรคหนึ่งมั้ยแม่? ประเด็นนี้แม่มณีก็สงสัยจึงไปไล่อ่านกรมธรรม์ ก็พบว่า ภาวะโคม่า มีนิยามที่ซับซ้อนและค่อนข้างจะแจ็กพอตแตกได้ยากกว่ามากหนาเจ้าคะ เพราะภาวะโคม่าต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ประสาทวิทยา หรือ ประสาทศัลยแพทย์ และต้องตรวจพบเข้าเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อ คือ ไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกอย่างน้อย 96 ชั่วโมง, ต้องอาศัยเครื่องช่วยชีวิตเพื่อพยุงชีพ และต้องได้รับการประเมินว่าสมองถูกทำลายอย่างถาวร
ข้อดีอย่างมากของความคุ้มครองภาวะวิกฤตินี้ คือ การไม่ได้จำกัดเงื่อนไขที่สาเหตุของความวิกฤติ แต่มุ่งเน้นไปที่ลักษณะการรักษาที่ชัดเจนว่าเป็นเคส “หนัก” วิกฤติอาจเกิดได้จากทั้งโรคร้ายแรงในลิสต์ประกันโรคร้าย หรือ โรคไม่ร้ายแรง หรือ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่เกิดจากโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ถ้าเข้าเงื่อนไขภาวะวิกฤติของกรมธรรม์นั้นก็จะจ่ายเงินก้อน เสมือนทำให้ประกันโรคร้ายแรง ขยายความคุ้มครองไปถึง “เคสรุนแรง” ได้หลากหลายมากขึ้น
ถ้าประกันโรคร้ายแรงที่มีฟังก์ชั่นนี้ แม่มณีจึงค่อนข้างจะเทใจให้ เพราะมันทำให้ประกันโรคร้ายแรงตัวนั้นมีความยืดหยุ่นสูงกว่าประกันโรคร้ายธรรมดาที่เราจะได้เงินก็ต่อเมื่อเราต้องเป็นโรคที่กำหนด และตรงตามนิยามที่กำหนดเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เรากังวลจนอยากจะทำประกันโรคร้ายแรง ก็คือ ค่ารักษาพยาบาลที่รุนแรงต่อใจ ซึ่งเราก็กำหนดไม่ได้ว่ามันจะตรงตามนิยามโรคร้ายแรงหรือไม่? การขยายความเป็นไปได้ในการจ่ายให้กว้างที่สุดย่อมสบายใจกว่า หวังว่าประกันโรคร้ายแรงรุ่นใหม่จะใส่ฟังก์ชั่นนี้กันเพิ่มขึ้นเยอะ ๆ นะเจ้าคะ
สถานการณ์การแพทย์ในปัจจุบันนี้ แม่มณีคิดว่าประกันโรคร้ายแรงจะมีบทบาทมากขึ้นในการเติมเต็มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลรูปแบบต่าง ๆ ที่คงจะทยอยเดินทางไปสู่การ Copayment มากยิ่งขึ้นในอนาคต ลดหย่อนภาษีปีนี้ก่อนที่จะทุ่มใจไปที่ IRR ซะทั้งหมด อดผลตอบแทนไปซักนิด แล้วตัดเงินหลักพันไปซื้อประกันโรคร้ายแรงที่ถูกใจ จะได้ทำงานสร้างความมั่งคั่ง ออม ลงทุน ได้อย่างสบายใจไม่กังวลนะเจ้าคะ รักนะ จุ๊บ ๆ
แต่ปีนี้ 2025 มีประกันโรคร้ายแรงออกใหม่น่าสนใจหลายค่าย และที่แม่มณีพึงใจคือการมี Feature ใหม่ ๆ มาแข่งขัน ไม่ใช่ประชันกันที่จำนวนโรคอย่างเดียว และหนึ่งในความคุ้มครองใหม่ๆ ที่แม่มณีให้ความสนใจและอยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จักก็คือ “ความคุ้มครองภาวะวิกฤติ” เจ้าค่ะ
ความคุ้มครองภาวะวิกฤติ เป็นฟังก์ชั่นรุ่นใหม่ ปีตื้น ซึ่งเราจะได้เห็นในประกันโรคร้ายแรงรุ่นใหม่ หรืออาจจะมีเสริมให้ในประกันสุขภาพบางแผน ซึ่งจะจ่ายผลประโยชน์เป็นเงินก้อนหลักหลายแสน ไปจนถึงหลักล้าน ในกรณีของ “เคสรุนแรง” ตามเงื่อนไขที่แผนนั้นถือว่า “วิกฤติ” ยกตัวอย่างดังภาพเจ้าค่ะ

แม้คำนิยามของ “ภาวะวิกฤติ” แต่ละแผนประกันจะไม่ได้เหมือนกันซะทั้งหมด แต่พอจะหยิบยกหลักการได้คร่าว ๆ ว่ามักจะเกี่ยวข้องกับ “การนอนห้อง ICU” ต่อเนื่องตามจำนวนวันที่กำหนด เท่าที่เห็นมักจะเป็นการนอนห้อง ICU ติดต่อกัน 5 วันขึ้นไป และจะต้องมีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบสอดท่อ, มีการใช้เครื่อง ECMO, มีการผ่าตัดแบบวางยาสลบทั่วไป, มีการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันไม่ได้ หรืออื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่เงื่อนไขของแบบประกันจะกำหนดไว้ แต่ละค่าย แต่ละแผน นับคำว่าวิกฤติไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด แต่เท่าที่แม่มณีเห็น 2 เคสที่ทุกค่ายเห็นพ้องต้องกันว่าวิกฤติแน่ ก็คือ การใช้เครื่องช่วยหายใจแบบสอดท่อ (MV) และ การใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (ECMO) เจ้าค่ะ
หลายคนอาจจะมีคำถามว่า “ภาวะวิกฤติ” ก็เท่ากับ “ภาวะโคม่า” ที่นับเป็นโรคร้ายแรงโรคหนึ่งมั้ยแม่? ประเด็นนี้แม่มณีก็สงสัยจึงไปไล่อ่านกรมธรรม์ ก็พบว่า ภาวะโคม่า มีนิยามที่ซับซ้อนและค่อนข้างจะแจ็กพอตแตกได้ยากกว่ามากหนาเจ้าคะ เพราะภาวะโคม่าต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ประสาทวิทยา หรือ ประสาทศัลยแพทย์ และต้องตรวจพบเข้าเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อ คือ ไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกอย่างน้อย 96 ชั่วโมง, ต้องอาศัยเครื่องช่วยชีวิตเพื่อพยุงชีพ และต้องได้รับการประเมินว่าสมองถูกทำลายอย่างถาวร
ข้อดีอย่างมากของความคุ้มครองภาวะวิกฤตินี้ คือ การไม่ได้จำกัดเงื่อนไขที่สาเหตุของความวิกฤติ แต่มุ่งเน้นไปที่ลักษณะการรักษาที่ชัดเจนว่าเป็นเคส “หนัก” วิกฤติอาจเกิดได้จากทั้งโรคร้ายแรงในลิสต์ประกันโรคร้าย หรือ โรคไม่ร้ายแรง หรือ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่เกิดจากโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ถ้าเข้าเงื่อนไขภาวะวิกฤติของกรมธรรม์นั้นก็จะจ่ายเงินก้อน เสมือนทำให้ประกันโรคร้ายแรง ขยายความคุ้มครองไปถึง “เคสรุนแรง” ได้หลากหลายมากขึ้น
ถ้าประกันโรคร้ายแรงที่มีฟังก์ชั่นนี้ แม่มณีจึงค่อนข้างจะเทใจให้ เพราะมันทำให้ประกันโรคร้ายแรงตัวนั้นมีความยืดหยุ่นสูงกว่าประกันโรคร้ายธรรมดาที่เราจะได้เงินก็ต่อเมื่อเราต้องเป็นโรคที่กำหนด และตรงตามนิยามที่กำหนดเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เรากังวลจนอยากจะทำประกันโรคร้ายแรง ก็คือ ค่ารักษาพยาบาลที่รุนแรงต่อใจ ซึ่งเราก็กำหนดไม่ได้ว่ามันจะตรงตามนิยามโรคร้ายแรงหรือไม่? การขยายความเป็นไปได้ในการจ่ายให้กว้างที่สุดย่อมสบายใจกว่า หวังว่าประกันโรคร้ายแรงรุ่นใหม่จะใส่ฟังก์ชั่นนี้กันเพิ่มขึ้นเยอะ ๆ นะเจ้าคะ
สถานการณ์การแพทย์ในปัจจุบันนี้ แม่มณีคิดว่าประกันโรคร้ายแรงจะมีบทบาทมากขึ้นในการเติมเต็มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลรูปแบบต่าง ๆ ที่คงจะทยอยเดินทางไปสู่การ Copayment มากยิ่งขึ้นในอนาคต ลดหย่อนภาษีปีนี้ก่อนที่จะทุ่มใจไปที่ IRR ซะทั้งหมด อดผลตอบแทนไปซักนิด แล้วตัดเงินหลักพันไปซื้อประกันโรคร้ายแรงที่ถูกใจ จะได้ทำงานสร้างความมั่งคั่ง ออม ลงทุน ได้อย่างสบายใจไม่กังวลนะเจ้าคะ รักนะ จุ๊บ ๆ
Share this post :
RELATED PORTFOLIO
การกลับมาของ ป๊ะป๋า อ้าซ่า หลังจากแม่มณีไม่ได้มอบมงเค้ามานาน
พี่ใหญ่ภูผาแดง เอจามเอ ออกแผนมาใหม่ก็...
เวทีแห่งนี้ไม่มีผู้ชนะ ความสร้างสรรค์ และสลับซับซ้อน คือนิยามของกลุ่มประกันโรคร้ายแรงแห่งสยาม
สวัสดีแฟนพักตร์ (fanpage)...
ลูกครึ่งประกันสุขภาพ กับ ประกันโรคร้ายแรง
เจอโรคร้าย จ่ายค่ารักษาเหมาจ่ายต่อปี
อยากได้ประกันโรคร้ายแรงแบ...
ประกันโรคร้ายแรง เป็นกลุ่มที่แม่มณีเขียนเนื้อหายากที่สุดในบรรดาทุกกลุ่มประกันเลยเจ้าค่ะ ปานประหนึ่งรีวิวน้ำพ...




